ธุรกิจออนไลน์ เป็นของที่ขึ้นแล้วลงยาก พูดง่ายๆ ก็คือ ช่วงทำแรกๆ อาจจะไม่เห็นผลเท่าไหร่ แต่พอเริ่มสร้างฐานผู้ติดตามได้จำนวนมากแล้ว กราฟจะพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดทันที หากใครสามารถขึ้นไปติดลมบนแล้ว บอกเลยครับว่า “เงิน” จะกลายเป็นของที่ “หาง่าย” มาก เพราะมันเหมือนอยู่ในอากาศ ขอแค่รู้วิธีจับมันเท่านั้น
.
เหตุผลที่เงินหาง่ายบนโลกออนไลน์ก็เพราะ
.
1. ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน
2. ไม่จำกัดสถานที่ สามารถขายได้ทั่วโลก ขยายฐานลูกค้าได้ง่าย และรวดเร็ว
3. ไม่จำกัดเวลา ขายได้แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ร้านค้าทั่วไปต้องปิดกัน
.
มองดูจากภายนอก อะไรๆ ก็เหมือนจะดีไปหมด แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังรายได้จำนวนมหาศาล ยอดขายที่แตะหลักหมื่นชิ้น นั่นต้องแลกมาด้วย เวลานอน สุขภาพ และ ความสัมพันธ์
.
ช่วงกลางปี 2020 ในขณะที่เพจสมองไหลกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดในอัตราเร่งที่สูงมากๆ มีคนเข้ามาสั่งซื้อหนังสือเฉลี่ยวันละ 40 เล่ม ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยความที่ตอนนั้นผมยังทำงานประจำอยู่ และยังทำเพจเป็นงานเสริม จึงไม่ได้มีเงินทุนมากนักที่จะไปจ้างแอดมิน ที่สำคัญแอดมินที่สามารถให้คำปรึกษาและเลือกหนังสือให้กับลูกค้าได้ก็ไม่ได้หากันง่ายๆ แถมถ้าจ้างมาก็คงไม่สามารถให้เขามาตอบทั้งวันได้ นั่นจึงทำให้ผมต้องทำเพจเองคนเดียวทั้งหมด ตั้งแต่การตอบแชท ให้คำปรึกษา เลือกหนังสือ รับออเดอร์ คัดลอกสรุปรายชื่อใส่ Excell จัดการสต็อก แพ็คของ และ ไปส่งที่ไปรษณีย์
.
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมได้นอนน้อยมาก อย่างที่บอกว่าออนไลน์นั้นไม่จำกัดเวลา กลายเป็นว่าขนาดตี 2 ผมก็ยังต้องตอบแชทขายของอยู่ ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน พอ 6 โมงเช้าก็มีลูกค้าทักเข้ามาอีกแล้ว ผมนอนน้อยมาก นอนหลับไม่เคยสนิท กลายเป็นคนที่ง่วงอยู่ตลอดเวลา ในแต่ละวัน ผมต้องฝืนลุกขึ้นมาทำงานไม่ต่างกับคนที่กำลังเมาแอลกอฮอล์อ่อนๆ
.
แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผมได้ทำคอนเทนต์ป้ายยาคอนเทนต์หนึ่ง เพื่อโปรโมตหนังสือ 101 CONTENT CREATOR ซึ่งผมก็ทำเอาไว้ แล้วตั้งเวลาโพสต์ตามปกติประมาณ 2 ทุ่ม จากนั้นผมก็ออกไปทานข้าวเย็น
.
แต่ใครจะไปรู้ว่าพอถึงเวลา โพสต์จริงๆ มันจะกลายเป็นไวรัล และมีคนทักมาสั่งซื้อจำนวนมาก เฉลี่ย 10คน/1 นาที เลยก็ว่าได้ คุณลองนึกสภาพดูครับ ผมกินข้าวไปได้ครึ่งจาน แล้วข้อความเด้งรัวๆๆ มีผมคนเดียวที่ตอบอยู่ บอกเลยครับ ทำเอานิ้วผมเกือบล็อคไปเลย ผมต้องวางมือจากการกินข้าว ถึงขนาดคนข้างๆ ต้องป้อนข้าวผมพลางมือตอบแชทไปด้วย เพราะผมไม่สามารถเอื้อมมือมาตักข้าวเข้าปากได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว บอกเลยครับว่าถึงแม้ข้าวจะเข้าปาก แต่ผมไม่รู้สึกถึงรสชาติของมันเลย
.
ผลปรากฎว่า วันนั้นมีคนทักเข้ามาสั่งซื้อหนังสือมากกว่า 350 เล่ม ภายใน 2 วัน ยอดขายทะลุหลักแสนภายใน 48 ชั่วโมง ฟังดูสวยหรู แต่หารู้ไม่ว่าตลอดช่วงเวลานั้น ผมไม่ได้นอนเลย อาจมีเผลองีบหลับไปบ้างไม่ถึง 1 ชั่วโมง
.
แต่ที่พีคกว่านั้น คือ พอผมทำยอดขายได้ ทางบริษัทผู้ผลิตหนังสือ กลับบอกมาว่าสินค้ามีไม่เพียงพอ ต้องรอพิมพ์ครั้งถัดไปอีก 15 วัน ซึ่งทำเอาผมเข่าทรุดไปเลย ลองคิดดูสิครับ นอนก็ไม่ได้นอนแล้ว ยังต้องทักไปแจ้งลูกค้าอีก 200 กว่าคนที่ยังไม่ได้ของอีก มีทั้งโดนด่า โดนขอคืนเงิน และ วิพากษ์วิจารณ์สารพัด แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะผมเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้เช็กให้ละเอียด แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ผมต้องรักษาสุดใจ ก็คือ “ความน่าเชื่อถือ” ต่อให้โดนขนาดไหนก็ต้องก้มหน้ายอมรับ
.
เมื่อเคลียทุกอย่างเสร็จ งานมหกรรมหนังสือก็เข้ามาพอดี ช่วงนั้นมีหนังสือดีๆ ออกเต็มไปหมด ผมก็ยังคงก้มหน้าทำงานต่อไป ตอนนั้นหนังสือ รู้แค่นี้ขายดีทุกอย่าง ของโค้ชแบงค์ขายดีมากๆ ผมเขียนคอนเทนต์และขายหนังสือทุกวัน ที่สำคัญ คือ ทำทุกอย่างคนเดียว จนในที่สุดเป้าหมายของผมก็สำเร็จ นั่นก็ทำกำไรทะลุหลักแสนให้ได้ภายใน 1 เดือน
.
สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ หนังสือไม่ใช่ของที่มีกำไรมากนัก การจะทำให้ได้กำไรหลักแสน บอกเลยว่าต้องขายให้ได้มากกว่า 1,200 เล่ม แล้วคุณลองคิดดูว่าผมคนเดียวต้องทำทุกอย่างเพื่อทำยอดขายระดับนี้ได้ มันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง
.
บอกเลยว่ามันไม่ใช่แค่เวลานอนแล้ว ผมเริ่มกินข้าวไม่ตรงเวลา เริ่มมีอาการปวดท้อง ปวดหลัง หน้าตาเริ่มโทรม ขอบตาดำ และ ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ความสัมพันธ์ของผมกับคนรอบข้างเริ่มย้ำแย่ลงเรื่อยๆ
.
ผมเริ่มทะเลาะกับแฟนทุกวันจนหนักขึ้นเรื่อยๆ ช่วงวันเทศกาลผมกลับบ้านไปหาครอบครัวที่จังหวัดสงขลาแต่ก็เหมือนไม่ได้กลับ เพราะผมแทบไม่ได้คุยกับพ่อแม่ ไม่ได้เล่นกับน้อง ไม่ได้หัวเราะกับใครเลย เพราะมัวแต่ตอบแชทลูกค้า และ กังวลเรื่องการจัดส่งสินค้า
.
และในที่สุด ผมก็ล้มป่วย…
.
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผมได้หยุดคิด และ ทบกวนตัวเอง ว่าสิ่งที่เราทำลงไป มันคุ้มแล้วเหรอ ?
.
ประกอบกับตอนนั้น ผมก็มีสำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามาให้เขียนหนังสือเป็นของตัวเอง ผมเริ่มกลับมาทบทวนว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อ ถ้างานประจำก็จะทำ ออนไลน์ก็จะขาย แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเขียนหนังสือ...
.
ผมชั่งน้ำหนักอยู่นาน จนสุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพราะตอนนั้นทำมาจนอิ่มตัวแล้ว แถมรายได้จากการทำออนไลน์ก็แซงงานประจำไป 6 เท่า นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด !!
.
แต่ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น ก็จะใช่ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการทำงานจริงๆ คุณลองนึกภาพดูครับ ว่ามีลูกค้าทักเข้ามาตลอด 24 ชั่วโมง เวลาผมนั่งเขียนหนังสืออยู่ พอมีลูกค้าทักมาก็ต้องรีบตอบ แล้วก็สลับมาเขียนหนังสือไปมา มันจะไปรอดเหรอ กลายเป็นว่าหนักกว่าเดิม เพราะผมไม่มีสมาธิเลย หนังสือก็ต้องเขียนให้ทันกำหนดส่งต้นฉบับ แต่ถ้าไม่ตอบแชทขายของ แล้วจะเอาเงินที่ไหนกิน เพราะงานประจำก็ลาออกแล้ว
.
ผมจึงมานั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวันว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี จนในที่สุดผมก็คิดว่าเราจะทำออนไลน์แบบ “อัตโนมือ” แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว คงต้องหา “ระบบ” การจัดการอะไรมาช่วย ผมจึงตัดสินใจ หยุดรับออเดอร์ในเพจ 7 วัน เพื่อเรียนรู้ระบบการจัดการและแชทบอททั้งหมดที่มีในท้องตลาด ผมลองหลายตัวมาก เสียเงินทดลองไปตั้งหลายบาท ก็ไม่เจออันที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าเสียที กลายเป็นว่าพอนำระบบเข้ามาใช้ ยอดขายกลับแย่ลงเสียอย่างนั้น เพราะมันไปทำให้ลูกค้าใช้งานยากขึ้น ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อเดิม สุดท้ายเมื่อเราไปทำให้ลูกค้าซื้อของยากขึ้น ลูกค้าก็เลยไม่ซื้อมันเสียเลย
.
ผมเริ่มท้อมาก เพราะไม่มีระบบของเจ้าไหนในตลาดที่ตอบโจทย์การขายหนังสือของผมได้เลย ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่า “หรือเราต้องทำแบบอัตโนมืออย่างนี้ต่อไป…”
.
แต่ในที่สุดก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ เพราะมีชื่อของเจ้าหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวผม นั่นก็คือ Shoplus ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทเก่าที่ผมเคยทำงานประจำอยู่พอดี ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่ามันจะตอบโจทย์ไหม แต่ก็ต้องลองใช้งานดูก่อน
.
พอได้ลองใช้แบบทดลอง ฟรี 7 วันก่อน แต่เอาจริงๆ บอกเลยว่า ผมใช้เวลาเรียนรู้แค่ 1 ชั่วโมง ก็สามารถนำมาใช้ได้เลย เพราะระบบนั้นใช้งานง่าย และ ตอบโจทย์ระบบการทำงานที่ผมทำแบบเดิมอยู่แล้ว แถมลูกค้าก็ไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรเลย คือ
.
1. เวลาผมทำคอนเทนต์ก็แค่แปะลิงก์เอาไว้ เมื่อลูกค้ากดเข้ามา หรือ พิมพ์ CF ในไลฟ์ ก็แค่กดสั่งซื้อ 2 ขั้นตอน ระบบ แชทบอทก็จะสรุปรายการให้ทันที
.
2. เมื่อลูกค้าโอนเงิน ก็สามารถคัดลอกที่อยู่ส่งมาได้เลย ระบบดูดที่อยู่เข้าระบบเอง จากนั้นก็จะสรุปรายการ ส่งบิลให้ลูกค้า ทุกอย่างจบทันทีใน 2 ขั้นตอน ไม่ต้องเข้าหน้าเว็บไปกรอกอะไรให้วุ่นวาย ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าอื่นที่ผมทดลองมาก่อนหน้านี้ทำไม่ได้
.
3. แต่ถ้าลูกค้าทักมาสั่งซื้อทางอินบ็อกซ์ ก็แค่ติดตั้งส่วนเสริมของระบบ แล้วสามารถสร้างออเดอร์บนเฟซบุ๊คในคอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ ได้เลย โดยไม่ต้องทำรายการผ่านหน้าเว็บ หรือ แอพพลิเคชั่นให้วุ่นวาย เหมือนเจ้าอื่นๆ
.
4. เมื่อทำรายการจบแล้ว ทุกออเดอร์ก็จะถูกนำไปรวบรวมที่ระบบหลังบ้านของ Shoplus สามารถดูยอดขายรายวัน รายเดือน รายสัปดาห์ มีกราฟให้ดูอย่างสวยงาม หรือ จะดาวโหลดออกมาทำบัญชีก็ได้
.
5. ระบบ Shoplus จะเชื่อมกับระบบขนส่งทุกเจ้าอัตโนมัติ หน้าที่ของเราก็แค่เลือกขนส่งที่ต้องการใช้ ปริ้นใบปะหน้าแปะกล่อง แล้วไปส่งที่ไปรษณีย์เท่านั้น ส่วนเลข Tracking ระบบจะส่งไปให้ลูกค้าเองอัตโนมัติ
.
สิ่งที่ผมอยากจะบอก คือ ตั้งแต่ผมใช้ระบบของ Shoplus มันทำให้ผมนอนหลับเต็มตื่น กินข้าวอร่อยขึ้น และ ได้ใช้เวลากับคนรอบข้างอย่างเต็มที่ ได้คุยกับพ่อแม่ ได้เล่นกับน้อง ได้หัวเราะกับทุกคน และ เมื่อความสัมพันธ์ผมดีขึ้น ผมก็มีความสุขมากขึ้น ทำงานน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น ไม่ต้องเสียเงินจ้างคนเพิ่ม เพราะปัจจุบันผมก็ยังทำเพจสมองไหลนี้คนเดียว ไม่ได้มีทีมงานใดๆ
.
จากที่ผมต้องตอบแชททั้งวันทั้งคืน ต้องให้คนอื่นป้อนข้าวให้ ปัจจุบันต่อให้มีลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาพร้อมกัน 100 ออเดอร์ หน้าที่ผมก็แค่ดูระบบทำเงินให้ผม คอยมอนิเตอร์ให้ดี ดูเงินที่หลั่งไหลเข้าบัญชี แล้วเอาเวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปทำงานที่สำคัญจริงๆ จนในที่สุดผมก็เขียนหนังสือเล่มแรกของตัวเองจนเสร็จและพร้อมวางแผงในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
.
บทเรียนครั้งนี้สอนให้ผมรู้ว่า “การมีระบบที่ดี มันช่วยให้เราประหยัดเงิน ประหยัดแรง แถมยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกต่างหาก”
.
.
ใครอยากทดลองใช้ระบบที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและธุรกิจของผม สามารถทักไปขอคำปรึกษาได้ที่เพจ Shoplus - ช้อปพลัส
หรือ เข้าไปทดลองใช้งานได้ที่เว็บไซต์ของ Shoplus - ช้อปพลัส โดยพิมพ์ชื่อ Shoplus ใน Google ได้เลยครับ